จดหมายจาก P ถึง M - จดหมายจาก P ถึง M นิยาย จดหมายจาก P ถึง M : Dek-D.com - Writer

    จดหมายจาก P ถึง M

    ผู้เข้าชมรวม

    724

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    10

    ผู้เข้าชมรวม


    724

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  22 ก.ย. 57 / 23:51 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น



    จดหมายจาก P ถึง M

     

    รองเท้าหนังสีดำราคาคู่ละไม่กี่ร้อยย่ำลงไปบนมูลสุนัข กลิ่นเหม็นที่ฟุ้งกระจายขึ้นมาแทบทำให้ข้าวผัดกระเพราซึ่งเป็นมื้อค่ำตีกลับย้อนขึ้นมาตามหลอดอาหารและพุ่งพรวดออกจากปาก แต่ในเวลานั้นผมกลับไม่สนใจอาการดังกล่าวเลยสักนิด หรือพูดให้ถูกก็คือ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหยียบอะไรหรือกำลังจะไปไหน ร่างกายของผมยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย และคงก้าวต่อไปเช่นนั้นอีกนานถ้าไม่ได้ยินเสียงเห่าขรมของสุนัขจรจัดที่คุ้ยขยะอยู่ในบริเวณนั้น

    เสียงของพวกมันทำให้ผมสะดุ้งเฮือกสุดตัว สิ่งแรกที่ทำคือกวาดมองไปโดยรอบอย่างงงงัน ตามด้วยคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวว่า ตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน  แต่พอตั้งสติได้และมองอย่างพิจารณาอีกครั้ง ผมจึงรู้ว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ใต้ทางด่วนลอยฟ้า ปัญหาต่อมาก็คือ ผมมาทำอะไรอยู่แถวนี้ เพราะโดยปรกติแล้วหลังเลิกงานผมจะตรงกลับบ้านและไม่ยอมออกไปไหนอีกจนกระทั่งถึงเวลาเข้านอน แล้ววันนี้มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมผมถึงมายืนอยู่ตรงนี้ ผมตั้งคำถามกับตัวเองอย่างหงุดหงิดพลางมือขึ้นเคาะหัวตัวเองเพื่อเรียกความทรงจำ ตอนนั้นเองที่กลิ่นคาวจัดลอยมาปะทะจมูก จากความชำนาญในหน้าที่ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ ทำให้ผมรู้ในทันทีว่า มันเป็นกลิ่นเลือด แต่มันมาจากไหน ผมหันมองไปโดยรอบเพื่อหาต้นเหตุแต่ต้องล้มเลิกความคิดเพราะแถวนั้นมืดสนิท ไม่มีไฟสักดวง หรือถึงจะมีก็ดับเพราะถูกคนเห็นแก่ตัวขโมยตัดสายไฟไปจนหมด ผมเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้งเพราะกลิ่นที่ว่ามันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนต้องยกมือขึ้นปิดจมูก สัมผัสเปียกลื่นบนปลายนิ้วกับกลิ่นคาวรุนแรง ทำให้ผมรู้สึกตัวในทันทีว่าแท้จริงแล้วกลิ่นเลือดที่เพียรพยายามหาแทบเป็นแทบตายนั้น มาจากมือของผมเอง

    หัวชาหนึบขึ้นมาในทันที เกิดอะไรขึ้น เลือดพวกนี้มาจากไหน ผมคิดพลางตบไปตามร่างกายของตัวเองเพื่อหาบาดแผลซึ่งไม่พบสักรอย แสดงว่าผมไม่ได้รับบาดเจ็บ ถ้าอย่างนั้นแล้วมันเป็นเลือดของใครหรือของอะไร ผมตั้งคำถามกับตัวเองและหมุนศีรษะมองไปรอบตัวอีกครั้ง นอกจากสุนัขสามสี่ตัวที่เพิ่งเห่าเมื่อครู่แล้ว ก็ไม่เห็นมีใครสักคน แสดงว่าต้นเหตุไม่ได้อยู่ในบริเวณนั้น ปัญหาก็คือมันอยู่ที่ไหนและเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สมองของผมทำงานอย่างหนักเพื่อคิดให้ออกแต่ก็ไม่เป็นผล ตอนนั้นผมก็เริ่มลังเลแล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไประหว่างเดินย้อนกลับไปทางเดิมเพื่อหาคนเจ็บซึ่งยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะมีจริงหรือไม่ หรือ เดินไปให้ถึงสี่แยกแล้วแจ้งตำรวจที่ป้อม ให้เขารับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะได้ออกมาช่วยค้นหากันอีกแรง

    ผมหมุนตัวขยับเท้าเตรียมตัวเดินแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อมีอีกเสียงดังขึ้นมาในหัว ถ้าเกิดเลือดนั่นมาจากคนที่ตายไปแล้วละ นิ้วทั้งห้ารวบเข้าหากันและกำจนแน่น ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ผมคงไม่แคล้วตกเป็นผู้ต้องสงสัย ดีไม่ดีอาจเจอข้อหาฆ่าคนตายไปโดยไม่รู้ตัว

    ความคิดสุดท้ายทำให้ผมดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าและจัดการเช็ดสิ่งเหนียวหนับบนมือให้สะอาดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นจึงข้ามถนนไปฝั่งและเดินย้อนเข้าไปในวัดเพราะผมจอดรถไว้ที่นั่น ยังไม่ทันไขกุญแจผมต้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่อโดนสะกิด พอหันกลับไปมองก็เห็นเด็กวัยรุ่นเนื้อตัวมอมแมมกำลังแบมือมาข้างหน้าเป็นเชิงขอ ตามปรกติแล้วผมจำเป็นต้องจ่ายให้คนพวกนี้เพราะไม่อย่างนั้นแล้วรถยนต์สุดที่รักอาจมีรอยขีดข่วน ถ้าหนักหน่อยกระจกหรือลูกล้ออาจอันตรธานหายไป ทุกครั้งที่จ่ายก็ไม่เคยมากไปกว่าสิบบาท แต่เพราะความกลัวว่าเจ้าเด็กเหลือขอนั่นจะสังเกตเห็นเลือด ผมจึงควักธนบัตรยี่สิบบาทยัดใส่มือไปหนึ่งใบ เด็กคนนั้นทำตาโตเหมือนไม่เชื่อก่อนรีบกุลีกุจอส่งสัญญาณมือช่วยให้ผมขยับรถออกจากที่จอดได้สะดวก และตะโกนขอบคุณเมื่อเห็นรถของผมวิ่งขึ้นถนนใหญ่ แต่ผมไม่ได้สนใจเพราะตอนนั้นคิดแต่เพียงว่า ต้องไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ระหว่างทางผมเฝ้าภาวนาไม่ให้เจอด่านตรวจ ดูเหมือนคุณพระคุณเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจะเข้าข้าง เพราะตลอดเส้นทางผมไม่เจอด่านหรือตำรวจสักคน พอถึงบ้านผมก็รีบเปิดประตูนำรถเข้าไปจอดเสร็จเรียบร้อยก็รีบไขกุญแจเปิดบ้าน และวิ่งขึ้นชั้นบนคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกาย     

    คราบเลือดที่เริ่มแข็งตัวแม้จะล้างออกได้ไม่ยากนักแต่ส่วนที่ซึมเข้าไปตามซอกเล็บเป็นเรื่องน่าปวดหัว แม้จะใช้ทั้งสบู่และแปรงขัด มันยังคงหลงเหลืออยู่ ผมจึงต้องใช้เวลาในการอาบน้ำนานกว่าทุกครั้ง กระนั้นกลิ่นคาวของมันยังคงติดอยู่จางๆ อาบน้ำเสร็จผมจึงต้องชโลมร่างกายด้วยโคโลญจน์จนชุ่ม พอดมจนแน่ใจว่าไม่มีกลิ่นเลือดแล้วจึงออกจากห้องลงไปนั่งยังเก้าอี้ชั้นล่าง มือคว้ารีโมตทีวีมาเปิดและไล่ดูข่าวรอบดึกไปเรื่อยด้วยความกังวล ซึ่งนอกจากรายงานอุบัติเหตุซึ่งมักจะมีในยามค่ำคืนแล้วก็ไม่มีข่าวอื่นอีก ระหว่างนั้นผมก็เริ่มคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา แต่ก็คิดไม่ออกอยู่ดีว่า มือของผมเปื้อนเลือดได้อย่างไร

    เมื่อนึกไม่ออกผมจึงเริ่มไล่เรียงเหตุการณ์ย้อนกลับไปในตอนเช้า จัดการกับกาแฟ ขนมปังปิ้งและตรวจดูความเรียบร้อยภายในบ้านแล้วผมก็ขับรถไปทำงานตามปรกติ ระหว่างทางก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรกับใคร พอถึงที่ทำงานก็ทักทายคนที่อยู่แถวนั้นสองสามคำและไม่ได้สนใจว่าพวกเขาจะพูดอะไรตอบจากนั้นจึงเริ่มงาน ด้วยตำแหน่งนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ในระดับปฏิบัติการ ความรับผิดชอบหลักของผมก็คือ วิเคราะห์ตัวอย่างทางการแพทย์ที่นอกเหนือจากงานของเจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์ ซึ่งงานวันนี้ส่วนใหญ่เป็นการตรวจหาเชื้อไวรัสต้องสงสัยว่าจะเป็นต้นเหตุของโรคระบาด ซึ่งต้องทำการเพาะเลี้ยงเจ้าเชื้อเหล่านี้ในห้องปฏิบัติการพิเศษด้วย แน่นอนว่างานพวกนี้จำเป็นต้องใช้ทั้งความรู้ความสามารถ อีกทั้งยังต้องมีสมาธิและความอดทนอย่างสูง ผมจึงกักตัวอยู่ในห้องนั้นตลอดทั้งวัน ความที่เป็นคนไม่ชอบคบค้าสมาคมหรือสุงสิงกับใคร จึงไม่ค่อยมีคนมาพูดจาเล่นหัวกับผมเท่าใดนัก ดังนั้นจึงตัดปัญหาเรื่องการทะเลาะเบาะแว้งออกไปได้ ส่วนเรื่องผู้หญิงหรือคนรักนั้นไม่ต้องพูดถึง ใช่ว่าจะขี้ริ้วอัปลักษณ์ เพราะรูปร่างหน้าตาของผมอยู่ในความนิยมอันดับต้นของสาวๆ แต่ผมคิดว่าความรักใคร่หรือการมีคู่ควง เป็นสิ่งไร้สาระเปลืองพื้นที่สมองในการคิด เวลาส่วนใหญ่จึงหมดไปกับการทำงาน ซึ่งต้องอาศัยทั้งความชำนาญและความรู้เฉพาะตัว และผมเองก็แน่ใจว่ามันสมองของผมอยู่ในระดับที่เรียกว่า เหนือกว่าทุกคนในที่ทำงาน

    กำลังคิดเพลินๆผมนึกขึ้นได้ว่ามันไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้เลยสักนิด ผมรีบสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดเพื่อไล่เรื่องเพ้อเจ้อออกจากหัวและรวบรวมสมาธิของตัวเองอีกครั้ง สิ่งที่ควรทำในเวลานี้ก็คือ หาที่มาของเลือดต่างหาก

    ถ้าเลือดนั่นไม่ได้มาจากที่ทำงานแล้ว มันมาจากไหน ผมรู้ตัวว่าคิ้วเริ่มขมวดเข้าหากันขณะใช้ความคิด หลังเลิกงานผมขับรถกลับบ้านซึ่งโดยปรกติแล้วผมจะขลุกอยู่ในห้องหนังสือหรือค้นคว้าอะไรเพิ่มเติมนิดหน่อย บางครั้งก็นั่งเอนหลังฟังเพลงเพื่อผ่อนคลายจนกระทั่งถึงเวลานอน แต่วันนี้ผมเกิดนึกอยากออกไปนั่งรับลมเล่นที่ไหนสักแห่ง จัดการมื้อค่ำเสร็จก็คว้าหนังสือวิชาการเล่มโปรดโยนใส่รถขับตรงไปยังสวนหย่อมใต้สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งหากเป็นเวลากลางวันจะมีคนพลุกพล่านพอสมควร แต่ตอนที่ผมไปถึงก็เกือบหนึ่งทุ่ม แถวนั้นจึงว่างปราศจากผู้คน จะมีบ้างก็เป็นพวกคนจรจัดที่ทยอยกันเข้ามาจับจองที่นอนหลับพักผ่อน แต่ผมก็ไม่สนใจคนเหล่านี้เท่าใดนัก จอดรถในวัดเสร็จเรียบร้อยก็เดินทอดน่องรับลมเย็นไปเรื่อยๆ เนื่องจากเป็นต้นเดือนพฤศจิกายนจึงมีลมเย็นพัดผ่านมาเป็นระยะ ผมสูดกลิ่นแห้งผสานกับความยะเยือกอันเป็นลักษณะพิเศษของฤดูหนาวเข้าปอดด้วยความแช่มชื่นอยู่ครู่หนึ่งจึงเจอมุมถูกใจและนึกขึ้นได้ว่าลืมหยิบหนังสือมาด้วย ครั้นจะเดินย้อนกลับไปเอาก็ไกลเกินไป ดังนั้นผมจึงตัดปัญหาด้วยการสรุปสั้นๆว่า ช่างเถอะ แล้วก็หย่อนตัวลงนั่ง จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย  มารู้ตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงสุนัขเห่านั่นแหละ

    สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วเลือดที่เปรอะเปื้อนจนแดงฉานไปทั้งมือนั่น มาจากไหน

    ผมตั้งคำถามและนั่งนิ่งคิดวนไปมาอยู่อย่างนั้นเกือบค่อนคืนจึงปิดโทรทัศน์ เดินขึ้นห้อง แต่ยังคงนั่งกลุ้มอยู่บนเตียงต่ออีกครู่ใหญ่ เมื่อคิดไม่ออกผมจึงยอมแพ้และเอนตัวลงนอน และหลับไปในเวลาอันรวดเร็ว  

    ห้านาฬิกาของเช้าวันใหม่ ผมลืมตาตื่นด้วยความรู้สึกไม่สดชื่นเท่าที่ควร จะว่าเป็นผลพวงจากการนอนดึกก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะผมนอนหลังเที่ยงคืนเป็นประจำ ตอนแรกก็คิดจะนอนต่ออยู่เหมือนกันแต่พอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ผมจึงลุกพรวดขึ้นเดินเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาและชำระร่างกายจนสะอาด เมื่อความสดชื่นกลับคืนมาผมจึงแต่งตัวและลงมายังชั้นล่าง เปิดโทรทัศน์พร้อมกับชงกาแฟและเตรียมมื้อเช้าไปด้วย ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็เป็นเวลาของรายการข่าวพอดี ช่วงแรกเป็นรายงานข่าวอุบัติเหตุทั่วไปจากนั้นก็เป็นข่าวอาชญากรรม ซึ่งมีเพียงวัยรุ่นตีกันในผับ ผมถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก แสดงว่าไม่มีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้น เลือดบนมือคงมาจากซากสัตว์จำพวกสุนัขหรือแมวที่ถูกรถชนตายบนถนน แล้วผมบังเอิญไปถูกมันเข้า

    เมื่อหาข้อสรุปได้แล้วผมกลับแปลกใจที่ไม่รู้สึกแช่มชื่นขึ้นเลยแม้แต่น้อย จะว่าไปมันเหมือนผิดหวังหน่อยๆที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามคาด ผมจินตนาการไว้ว่า เลือดดังกล่าวมาจากร่างไร้วิญญาณของใครบางคน ที่ดับลมหายใจลงด้วยน้ำมือของผมเอง

    มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยเหมือนสะใจกับภาพในหัวก่อนนึกขึ้นได้ว่าช่างเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่า ผมจึงรีบจัดการอาหารที่เหลือจนหมด ล้างถ้วยชามจัดเก็บเรียบร้อยก็คว้ากระเป๋า ขึ้นรถ ขับออกจากบ้านตรงไปยังที่ทำงาน

     วันนี้ผมไปถึงโรงพยาบาลก่อนเวลาเข้างานราวสิบนาที จึงมีโอกาสซื้อหนังสือพิมพ์จากแผงลอยหน้าอาคารจอดรถ โดยปรกติแล้วผมไม่ค่อยให้ความสนใจของพวกนี้เท่าใดนัก แต่ความกังวลในหัวทำให้ต้องควานหาทุกอย่างที่พอจะเป็นเบาะแสหรือที่มาของเลือดปริศนา สิ่งแรกที่ดูคือข่าวพาดหัวซึ่งเป็นเรื่องราวการจับฆาตกรโหดฆ่าเมีย พอเห็นว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องการ ผมจึงไล่อ่านหัวข้อต่อมาก่อนจะพลิกไปหน้าสุดท้าย เกือบจะโล่งใจอยู่แล้วสายตาก็สะดุดกับข่าวย่อยกรอบสุดท้ายที่ดูเหมือนจะไม่สำคัญอะไรมากนัก แต่สำหรับผมแล้ว มันทำให้หัวใจที่เคยเต้นด้วยจังหวะสม่ำเสมอ เกิดอาการกระตุกและสั่นระรัวขึ้นมาอย่างฉับพลัน

    พบศพคนจรจัดบนเก้าอี้ใต้สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา

    หนังสือพิมพ์จั่วหัวบรรทัดแรกไว้แบบนั้น และขยายใจความแต่เพียงว่า ผู้ตายเสียชีวิตจากการถูกทำร้าย ตำรวจคาดว่าน่าจะเกิดจากฝีมือของพวกขี้ยาหรือคนจรจัดด้วยกัน และจะสืบหาตัวฆาตกรต่อไป

    มือของผมสั่นระริก เพราะสถานที่พบศพคือบริเวณที่ผมไปนั่งเล่นเมื่อคืนซ้ำยังอยู่ห่างจากจุดที่ผมรู้สึกตัวไม่ถึงสามร้อยเมตร เป็นไปได้หรือไม่ว่าผู้ชายคนนั้นถูกผมฆ่าตาย แต่เพราะอะไร ทำไมผมต้องทำอย่างนั้นด้วย

    ผมอ่านข่าวดังกล่าวซ้ำอีกรอบแต่ก็ไม่ได้อะไรมากกว่านั้น ความอยากรู้เรื่องราวให้มากขึ้นผมจึงเตรียมซื้อหนังสือพิมพ์เพิ่มอีกสองสามฉบับแต่ยังไม่ทันได้ลงมือก็ต้องหยุดเมื่อมือของใครบางคนตะปบลงบนไหล่ พร้อมกับเสียงทักทาย

    ทำอะไรอยู่หรือคุณมุมานะ

    ไม่ต้องหันไปมองผมก็รู้ว่าคนทักคือหัวหน้าแผนกชื่อมนัส ผู้ชายที่อ่อนด้อยกว่าผมมากทั้งอายุการทำงานและคุณวุฒิ ความชิงชังส่วนตัวทำให้ไม่อยากสนทนาหรือแม้แต่มองหน้าเขาสักเท่าไหร่ ผมจึงทำเป็นไม่สนใจและหมุนตัวเดินหนี การกระทำเหมือนไม่เห็นหัวคนที่มีตำแหน่งสูงกว่าคงทำให้มนัสฉุน เขาจึงแกล้งพูดเสียงดัง

    “วันนี้มีประชุมตอนเช้า เตรียมตอบคำถามให้ดีด้วยละ”

    เป็นการเลือกประโยคที่ฉลาดมากสำหรับคนสมองน้อยอย่างเขา เพราะคำพูดที่เจตนาจะให้คนที่ได้ยินคิดว่ามีข้อผิดพลาดในการทำงานทำให้ทุกคนหันมามองผมเป็นตาเดียว ต่อให้อยากย้อนใจแทบขาดว่า มันก็แค่การประชุมประจำสัปดาห์เท่านั้น ก็ทำไม่ได้ ผมจึงทำเพียงแค่พยักหน้ารับและเดินจากมา

    ฝากไว้ก่อนเถอะ ผมนึกในใจด้วยความแค้น มือทั้งสองข้างกำแน่นจนกระดูกแทบแหลกเหลว ตลอดเวลาที่ผ่านมาหากไม่จำเป็นจริงๆ ผมมักหาทางเลี่ยงไม่ประจันหน้ากับนายมนัสโดยตรง เพราะรู้ดีว่าเขาไม่ชอบหน้าและคิดอยู่เสมอว่าจะโดนแย่งตำแหน่ง

    แย่งตำแหน่ง

    ผมทวนประโยคซ้ำอีกครั้งและหัวเราะอย่างขมขื่น เก้าอี้หัวหน้าแผนกที่เขานั่งอยู่ในตอนนี้เกือบจะเป็นของผมอยู่แล้ว แต่เพราะเส้นสายใหญ่โตคับโรงพยาบาล ชื่อที่ถูกเสนอจึงเปลี่ยนจากคุณมุมานะเป็นนายมนัส ตอนได้ยินครั้งแรกผมตกใจจนแทบล้มทั้งยืน พอเข้าไปถามผู้ใหญ่ ท่านก็ให้คำตอบมาว่าเพราะผมยังเป็นแค่นักปฏิบัติการเท่านั้น ให้อดทนรอต่อไปอีกสองสามปี ผมได้แต่ยิ้มและเดินออกจากห้องด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความแค้น

    นายมนัสเองก็มีตำแหน่งเท่าผม แถมยังมีอายุงานน้อยกว่าด้วยซ้ำ กลับก้าวข้ามขั้นไปเป็นหัวหน้าแผนกได้หน้าตาเฉย ช่างเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นเลยสักนิด

    ความโกรธทำให้ผมเร่งจังหวะเท้าเดินเร็วขึ้นกระทั่งถึงอาคารของฝ่ายเทคนิคการแพทย์ เมื่อลงชื่อพร้อมบันทึกเวลาเข้าทำงานลงสมุดเรียบร้อยแล้วผมจึงตรงไปยังห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจเชื้อที่เพาะเอาไว้ในจาน แต่ยังไม่ทันจะครบทุกอันก็ต้องหยุดเพราะถึงเวลาประชุม ผมจึงจำต้องเก็บทุกอย่างเข้าตู้ก่อนรวบรวมรายงานลงแฟ้ม กดลิฟต์ขึ้นไปยังห้องประชุมซึ่งอยู่บนชั้นแปด พอไปถึงก็พบว่านายมนัสกับผู้ร่วมงานของผมมาพร้อมกันเกือบทุกคนแล้ว

    ช่วงแรกเป็นการายงานของนักวิทยาศาสตร์แต่ละคนโดยผมเป็นคนสุดท้าย จากนั้นนายมนัสก็เริ่มสาธยายหัวข้อหลักต่างๆให้ลูกน้องฟัง สำหรับผมแล้วมันเป็นคำพูดที่โง่เง่าเต็มที แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นหัวหน้า ต่อให้เป็นประโยคปัญญาอ่อนยังไงก็ต้องฟัง ผมเหลือบตามองนาฬิกาข้อมือและแอบยิ้มเมื่อเห็นว่าอีกไม่กี่การประชุมอันน่าเบื่อหน่ายนี้ก็จบลง แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะจู่ๆนายมนัสก็เรียกชื่อผมพร้อมกับหยิบแฟ้มสีดำขึ้นมาเปิด จากนั้นก็เริ่มป้อนคำถามที่ดูเหมือนจะเตรียมมาอย่างดี ไม่ว่าผมจะตอบอย่างไรเขาก็สามารถเบี่ยงเบนความหมายไปในทางร้ายได้หมด นายมนัสใช้วิธีนี้ไล่บี้ผมอยู่ราวครึ่งชั่วโมงจึงตบท้ายด้วยประโยคสั้นๆ

    “หวังว่าคุณจะปรับปรุงการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ คุณมุมานะ”   

    อีกครั้งที่ผมถูกทุกคนจ้องด้วยสายตาเชิงตำหนิ มันทำให้ผมโกรธจนต้องรีบเดินออกจากห้อง ขณะเปิดประตูสายตาก็ไพล่ไปสบกับใบหน้าของมนัสโดยบังเอิญ รอยยิ้มเยาะหยันกับแววตาหยามเหยียดของเขาทำให้สุดจะระงับอารมณ์อีกต่อไป ผมพุ่งเข้าไปบีบคอนายมนัสแน่นปากตะโกนแช่งด่าด้วยถ้อยคำหยาบช้าอย่างที่ไม่เคยพูดมาก่อน ยิ่งเห็นนายมนัสดิ้นทุรนทุรายตาเหลือกน้ำลายฟูมปากแล้ว ผมถึงกับหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง และคงหัวเราะอย่างนั้นอีกนานถ้าไม่ได้ยินเสียงเรียก

    “คุณมุมานะ”

    ผมสะดุ้งสุดตัวและมองคนเรียกอย่างงงงัน นายมนัสนั่นเอง แต่เป็นไปได้อย่างไรก็เมื่อครู่ผมยังบีบคอเขาอยู่ ทำไมตอนนี้ถึงยังดูปรกติไม่เป็นอะไรเลย สีหน้างุนงงกับท่าทางล่อกแล่กของผมทำให้นายมนัสนิ่วหน้า

    “เป็นอะไร ฝันกลางวันอยู่หรือ

    น้ำเสียงเยาะดึงความโกรธให้เข้ามาครองสติอีกครั้ง ผมหวนนึกถึงภาพนายมนัสนอนตาเหลือกลิ้นจุกปากแล้วเหยียดยิ้มอย่างสะใจ ถ้ามันเป็นจริงคงดีกว่านี้มากและผมคงมีความสุขที่สุดในโลก สีหน้าในตอนนั้นคงทำให้คนเห็นคิดว่าผมคงเสียสติไปแล้วเพราะนายมนัสขยับถอยห่างออกไปเล็กน้อยก่อนยื่นแฟ้มให้พร้อมกับบอกว่าเป็นงานวิเคราะห์แบคทีเรียที่พบทางแถบชายแดน ทางกรมอยากรู้ว่ามันเป็นเชื้อประเภทไหน มีผลอย่างไรกับมนุษย์ และให้เวลาทำงานสามวัน

    สามวัน ! ผมสบถในใจ เวลาแค่นี้ไม่พอเตรียมอาหารเลี้ยงเชื้อเลยด้วยซ้ำ แบบนี้มันแกล้งกันมากกว่า ส่วนนายมนัสพอสั่งงานเสร็จก็หันไปชวนคู่หูซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์รุ่นเดียวกันไปกินมื้อเที่ยง พอทั้งคู่หายเข้าไปในลิฟต์ผมจึงขว้างแฟ้มลงพื้นพร้อมกับตะโกนลั่นด้วยความแค้นใจ และคงใช้เท้าขยี้มันซ้ำอีกครั้งหากใครคนหนึ่งไม่เข้ามาห้าม

    ใจเย็นๆคุณมุ คนพูดก้มตัวลงเก็บแฟ้มดังกล่าวขึ้นมาปัด ทำแบบนี้หัวหน้ามนัสจะหัวเราะเอาได้นะครับ

    คนปลอบกล่าวเสียงเนิบพลางยื่นแฟ้มให้และยิ้มเมื่อเห็นผมทำหน้าเหมือนนึกไม่ออกว่าเขาชื่ออะไร  

    ผมอยู่ตึกเดียวกับคุณแต่ทำงานด้านฝึกอบรม ความจริงแล้วเราเจอกันบ่อยแต่คุณไม่เคยสังเกตเองต่างหาก แต่ช่างเถอะ ที่เข้ามาคุยด้วยเพราะอยากเตือนให้คุณระวังตัว ผมได้ข่าวมาว่านายมนัสกำลังถูกผู้ใหญ่เพ่งเล็งเนื่องจากไม่มีผลงาน เลยหาแพะมารับบาป

    ข่าวใหม่ทำให้ผมกะพริบตาปริบๆแต่ยังพูดอะไรไม่ออก อีกฝ่ายจึงเล่าต่อไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

    ที่มาลงกับคุณก็เพราะว่า คุณได้รับการเสนอชื่อให้เป็นหัวหน้าแผนกคนต่อไป

    ถูกกลั่นแกล้งยังพอทน แต่การกลายเป็นแพะรับบาปเป็นเรื่องที่ผมยอมรับไม่ได้ ความเคียดแค้นชิงชังทำให้ผมเกือบทำงานพลาดหลายครั้ง แต่ก็พยายามตั้งสติเพราะถ้าเกิดเรื่องบกพร่องเพียงนิดเดียว มนัสคงขย้ำผมจมเขี้ยวแน่

    เย็นวันนั้นผมเลิกงานตรงเวลาเผง พอถึงบ้านสิ่งแรกที่ทำคือหยิบหนังสือกายวิภาคศาสตร์ที่อ่านค้างไว้ตั้งแต่เมื่อวันก่อนมาเปิด แต่เรื่องราวที่วิ่งวนอยู่ในหัวทำให้ไม่สามารถจดจ่อกับภาพกล้ามเสื้ออันแสนงดงามได้อีกต่อไป ผมวางหนังสือและเดินไปเปิดเพลง โดยเลือกดนตรีของบาค ความหนักหน่วงของท่วงทำนองพอจะปัดเป่าอารมณ์ขุ่นมัวออกไปได้บ้าง พอรู้สึกดีขึ้นผมก็ลงมือทำอาหารเย็น เมนูวันนี้ค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเองไปหน่อย คือสเต็กเนื้อลูกวัวแบบสุกปานกลาง เพราะผมจะรู้สึกอิ่มสุขเวลากิน ตอนใช้มีดเฉือนแล้วเห็นเลือดซึมออกมาจากเนื้อสีแดงฉ่ำแล้ว ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นผู้กำหนดความตายให้คนที่อยู่ในกำมือ มันทำให้อาหารมื้อนั้นอร่อยอย่าบอกใครเชียว

    ผมปิดท้ายมื้อค่ำด้วยทีรามิสุ ทำความสะอาดจานชามเสร็จเรียบร้อยก็ออกไปนั่งละเลียดไวน์แดงในสวน นอนรับลมเย็นของฤดูหนาวซึ่งไม่ได้เจอมานานแล้วอยู่ครู่หนึ่งผมก็เกิดความคิดว่า หากนั่นเป็นลมที่พัดมาจากฝั่งแม่น้ำคงจะสร้างความปลอดโปร่ง สดชื่นสบายใจกว่านี้มาก

    ตอนนั้นเองที่เรื่องเลือดปริศนากับการตายของคนจรจัดย้อนกลับเข้ามาในความคิด ผมมองกุญแจรถในมืออย่างลังเล ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันขึ้นมาอีกละ จะทำยังไง ขณะวางกุญแจลงความรู้สึกบางอย่างก็ปะทุขึ้นภายในจิตใจ มันเป็นความรู้สึกระหว่างความกระหาย กับความปรารถนาอันเร้นลับ แรงขับดันดังกล่าวทำให้ผมเดินไปที่รถและขับออกไปโดยไม่รู้ตัว

    ที่หมายของผมในครั้งนี้เป็นลานอเนกประสงค์ใต้สะพานข้ามแม่น้ำเช่นเดียวกัน แต่เป็นคนละแห่งกับครั้งแรก ลานจอดรถของที่นี่ก็อยู่ไม่ห่างจากจุดพักผ่อนเท่าใดนัก ตอนที่ผมไปถึงก็เป็นเวลาเกือบสองทุ่ม ร้านรวงรวมทั้งผู้คนจึงกลับกันไปจนหมดแล้ว เช่นเดียวกับสวนสาธารณะทั่วไป พอถึงเวลาพลบค่ำ มันจะแปรสภาพจากสถานที่พักผ่อนเป็นแหล่งมั่วสุมของคนติดยาหรือไม่ก็เป็นที่หลับนอนของคนจรจัด แต่ดูเหมือนคนพวกนั้นจะยังไม่ค่อยมากนัก ผมจึงเลือกมุมสงบเอนหลังนั่งพักอย่างสบายอารมณ์ สายลมเย็นจากแม่น้ำสร้างความผ่อนคลายได้ดีอย่างที่คิด ผมหลับตาพลางสูดกลิ่นหอมของลมอย่างมีความสุข แต่ก็แช่มชื่นอยู่ได้ไม่นานเพราะสักพักชายคนหนึ่งก็เดินปรี่เข้ามาและพูดเสียงดัง

    ลุก !”

    ผมยังคงนั่งนิ่งแต่ใช้สายตาไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้า สภาพเนื้อตัวที่สกปรกมอมแมมกับเสื้อผ้าขาดกระรุ่งกะริ่งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าชายคนนี้คือคนจรจัด ปรกติแล้วคนจำพวกนี้ไม่ชอบยุ่มย่ามกับใครแต่ที่เข้ามาพูดแบบนี้คงอยากได้เก้าอี้ตัวที่ผมนั่งเป็นเตียงนอน เพื่อความปลอดภัย ผมจึงยอมลุกขึ้นแต่โดยดีและเตรียมจะเดินจากมาแต่อีกฝ่ายกลับยึดแขนเสื้อเอาไว้พร้อมกับหงายมือมาข้างหน้า

    ขอเงินกินข้าวหน่อยสิ

    ผมไม่อยากมีเรื่องกับคนพวกนี้จึงตัดใจดึงธนบัตรยี่สิบบาทออกจากกระเป๋าส่งให้หนึ่งใบ แต่เจ้าคนจรจัดนั่นก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ

    แต่งตัวออกดีให้แค่นี้เองเหรอ เขาพูดอ้อแอ้ กลิ่นตัวผสมกับกลิ่นเหล้าราคาถูกทำให้ผมเบ้หน้าอย่างนึกรังเกียจและดึงแขนเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุม แต่อีกฝ่ายกลับกำมันแน่น

    ขอสักร้อยสองร้อยได้หรือเปล่า

    แบบนี้ไม่เรียกว่าขอแล้ว มันเป็นการปล้นกันชัดๆ ผมสะบัดแขนอย่างแรงจนหลุดและเดินหนี เจ้านั่นกลับเดินตามพร้อมกับล้วงมือลงไปในเสื้อเหมือนจะดึงอะไรบางอย่างออกมา ความกลัวทำให้ผมเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่ง ดวงตากวาดมองไปโดยรอบเพื่อขอความช่วยเหลือแต่โชคร้ายที่แถวนั้นไม่มีใครสักคน อารามรีบร้อนบวกกับความมืดทำให้ผมไม่มองไม่เห็นทาง เท้าจึงสะดุดหินก้อนหนึ่งล้มลง เจ้าตัวสกปรกรีบกระโจนลงมาคร่อม มือสองข้างล้วงไปตามร่างกายของผมอย่างย่ามใจ

    “มีของอะไรส่งมาให้หมด” เขาตะคอกพร้อมกับดึงกระเป๋าเงินออกไป ผมใจหายวาบเพราะในนั้นมีทั้งบัตรประจำตัวประชาชน บัตรพนักงาน เอทีเอ็มและอย่างอื่นอีกจิปาถะ ผมรีบคว้ามันเอาไว้และดึงกลับมาแต่อีกฝ่ายไม่ยอมแพ้ ยื้อกันไปมาอยู่อึดใจเจ้าคนจรจัดนั่นก็ระดมทุบตัวผมอย่างบ้าคลั่ง ถ้อยคำต่ำช้าหยาบคายไหลพร่างพรูออกมาจากปากที่สุดแสนจะโสโครก

    “จะงกไปทำไม่วะ เงินแค่นี้ไม่ทำให้ขนหน้าแข้งร่วงหรอกน่า” พูดพลางตบหน้าผมอีกสองฉาด ทั้งที่พยายามยกมือขึ้นปัดป้องแต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อเห็นว่าผมไม่มีทางสู้ เจ้าคนจรจัดนั้นจึงคว้าคอเสื้อเขย่าอย่างแรง  “บอกให้ส่งเงินมา ไม่ได้ยินหรือไงวะไอ้โง่ !

    ประโยคสุดท้ายทำให้เลือดขึ้นหน้า คนต่ำช้าอย่างมันมีสิทธิอะไรมาใช้คำพูดแบบนี้กับผม มือทั้งสองตะปบมือโสโครกเอาไว้และออกแรงผลักให้กระแทกหน้ามันเองอย่างแรงจนผงะหงาย แต่ผมไม่หยุดเพียงแค่นั้นเพราะตอนนี้ความโกรธกลายเป็นเมฆหมอกครอบงำทั้งสติและจิตใของผมไปจนหมดสิ้น ภาพตรงหน้าเริ่มบิดเบือนไป ใบหน้าของคนจรจัดกลายเป็นหน้าของคนที่ผมชิงชังที่สุดในโลก

    นายมนัส

    แรงผลักเมื่อครู่ทำให้หมอนั่นล้มกลิ้งลงไปนอนแอ้งแม้ง ผมไม่ปล่อยให้โอกาสแสนงามหลุดจากมือเป็นอันขาด รองเท้าหนังราคาถูกที่มันเคยสบประมาทเอาไว้กระหน่ำลงไปบนลำตัวไม่ยั้ง พออีกฝ่ายพลิกตัวกลับและเริ่มคลานหนี ผมก็โดดขึ้นไปนั่งคร่อมตัวของมัน จิกหัวกระชากจนหน้าหงาย

    อย่า.... ใบหน้าเปื้อนฝุ่นเจิ่งนองไปด้วยน้ำตาขณะอ้อนวอน แต่สิ่งที่ผมเห็นคือรอยยิ้มน่ารังเกียจของนายมนัส เสียงหัวเราะที่น่าขยะแขยงดังก้องอยู่ในโสตประสาท มันทำให้ผมสุดจะยั้งใจได้อีกต่อไป มือขยุ้มผมหยาบกระด้างแน่นขึ้นก่อนกระแทกหน้าของมันลงไปกับพื้นคอนกรีต แต่เจ้าคนชั่วยังคงหัวเราะไม่หยุด ผมจึงกระหน่ำซ้ำลงไปอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้งจนได้ยินเสียงโพละเบาๆจึงหยุด เมื่อยกหัวขึ้นดูผมก็คลี่ยิ้มออกมาด้วยความสะใจ เพราะใบหน้าของมันในตอนนี้เหมือนลูกแตงโมที่หล่นลงมาจากท้ายรถสิบล้อ จมูกนั้นไม่ต้องพูดถึง มันแหลกเละจนไม่มีชิ้นดีไปเรียบร้อยแล้ว หน้าผากยุบลงไปจนแทบจะติดท้ายทอย ฟันสีเหลืองอ๋อยร่วงออกจากปากกระจายเกลื่อนพื้นปนไปกับเลือดและน้ำลาย บางทีอาจมีมันสมองปนอยู่ด้วยนิดหน่อย สิ่งที่สร้างความรู้สึกดีกับผมที่สุดก็คือ ร่างภายใต้ตัวของผมสั่นกระตุกสองสามครั้งก่อนแน่นิ่ง ไม่จำเป็นต้องตรวจชีพจรก็พอจะเดาออกว่า เจ้าคนชั่วสิ้นใจตายไปแล้ว ผมปล่อยหัวของมันให้ร่วงลงไปกองกับพื้นและลุกยืนขึ้นสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด สายลมเย็นจากแม่น้ำพัดมากระทบกับใบหน้า ผมยิ้มอย่างมีความสุข นับเป็นครั้งแรกที่ลมของฤดูหนาวสร้างความสดชื่นสบายใจได้เช่นนี้

    ดื่มด่ำความสุขได้ไม่นาน ผมต้องสะดุ้งเพราะเสียงสุนัขเห่า สติที่ล่องลอยไปเมื่อครู่กลับคืนสู่ตัว ผมขมวดคิ้วและกวาดตามองไปโดยรอบด้วยความแปลกใจ จำได้ว่าเมื่อครู่ผมกำลังนั่งรับลมเย็นอยู่ริมแม่น้ำ แล้วมายืนอยู่ที่นี่ได้ยังไง พอขยับตัวเท้าก็ไปเตะเข้ากับอะไรบางอย่างซึ่งพอก้มลงมองผมถึงกับผงะ เมื่อเห็นว่ามันเป็นร่างของผู้ชายคนหนึ่ง มือยื่นไปข้างหน้าหมายตรวจว่าเขาเป็นอะไรแต่กลิ่นเลือดที่โชยขึ้นมาทำให้หยุดชะงัก หรือชายคนนี้ถูกทำร้าย ผมคิดและเตรียมหยิบสมาร์ตโฟนเพื่อโทร.แจ้งตำรวจ ความอุ่นชื้นบนมือทั้งสองข้างทำให้ผมจำต้องยกขึ้นมามองและเบิกตากว้างเมื่อเห็นคราบเลือดเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด 

    สัญชาตญาณเตือนให้ผมรีบออกไปจากที่นั่นโดยเร็ว สองเท้าทำงานตามสมองสั่งอย่างอัตโนมัติ ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังที่จอดรถแต่ต้องเปลี่ยนใจเมื่อเห็นวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่ ผมรีบหลบเข้ามุมมืดและยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาจ้อง คราบเลือดที่เกรอะกรังมาจนเกือบถึงข้อศอกทำให้ต้องคิดหนัก รถของผมจอดอยู่ใต้เสาไฟพอดี สภาพของผมในตอนนี้คงไม่เหมาะจะไปปรากฏให้คนอื่นเห็นเท่าใดนัก ดังนั้นที่ควรทำในตอนนี้ก็คือ ล้างเลือดพวกนี้ออกไปให้หมด อย่างเร็วที่สุด

    ผมหันไปทางท่าน้ำ โชคดีที่ปลอดคน แต่ความสูงของขอบโป๊ะกับระดับน้ำต่างกันมากพอดู ถึงจะเอื้อมถึงแต่ก็คงไม่สะดวกนัก ผมจึงมองหาอะไรที่พอจะตักน้ำขึ้นมาได้ สิ่งแรกที่เห็นคือกระป๋องน้ำอัดลม คงใช้ได้ไม่สะดวกเท่าไหร่ ต่อไปก็เป็นขวดเบียร์กับขวดเหล้าราคาถูก คงหืดขึ้นคอกว่าจะกรอกน้ำเข้าไปจนเต็ม ถุงพลาสติกมีเต็มไปหมดแต่ไม่ได้ประโยชน์อะไร ผมถอนใจอย่างสิ้นหวังและก้มหน้าลง หัวใจที่ห่อเหี่ยวเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นกะลามะพร้าวกลิ้งอยู่แทบเท้า

    ของดีอยู่ใกล้ตัวแท้ๆ ผมบอกตัวเองอย่างลิงโลดก่อนคว้ากะลาอันนั้นขึ้นมา แต่พอจะเดินไปที่ท่าน้ำ ปรากฏว่าเด็กวัยรุ่นกลุ่มเมื่อครู่ย้ายทำเลขึ้นไปคุยกันบนนั้น ครั้นจะกลับไปที่รถก็ทำไม่ได้ ผมหันรีหันขวางพร้อมกับใช้ความคิดอย่างหนักว่าควรทำอย่างไรดี เพราะสิ่งสำคัญในตอนนี้คือกำจัดคราบเลือดให้หมด ผมหันมองรอบตัวเพื่อหาทำเลเหมาะ ปรากฏว่ามันอยู่ด้านหลังของผมนี่เอง

    บริเวณโดยรอบของสวนสาธารณะมีสิ่งปลูกสร้างรวมถึงบ้านพักอาศัยอยู่ก็จริง แต่ดูเหมือนด้านหนึ่งจะไม่ได้สร้างอะไร ไม่มีแม้กระทั่งไฟฟ้าส่องทาง  ความมืดทำให้ผมตัดสินใจเข้าไปสำรวจ เดินลัดเลาะไปตามทางคอนกรีตแคบๆซึ่งน่าจะเป็นคันเขื่อนกันตลิ่ง ผมก็พบพื้นที่รกร้างซึ่งมีต้นไม้นานาชนิดขึ้นหนาแน่นไปหมด สภาพรกชัฏทำให้ผมคิดว่ามันคงเป็นที่ว่างแต่ผิดคาด เพราะตรงกลางมีบ้านไม้โบราณเก่าคร่ำคร่าซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเงามืด ด้วยความทรุดโทรม ทำให้ผมรู้ได้ในทันทีว่ามันเป็นเพียงบ้านร้าง ผมจึงเดินตรงไปยังท่าน้ำเล็กๆซึ่งเก่าผุพังจนไม่น่าจะรับน้ำหนักของผู้ชายได้ไหว ยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่งผมจึงตัดสินใจคุกเข่าบนขอบคอนกรีตเพื่อตักน้ำ แต่ยังไม่ทันได้ก้มตัวลงไปหูก็ได้ยินเสียงเหมือนเฉาะมะพร้าวดังออกมาจากในบ้าน

    ผมหยุดชะงักและหันไปมองอย่างระแวง หรือจะเป็นคนจรจัด คงไม่ดีแน่หากถูกคนพวกนั้นเห็น ผมจึงค่อยๆเดินออกจากที่นั่นแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อจมูกสัมผัสถึงกลิ่นที่คุ้นเคย

    เลือด และแอลกอฮอล์

    หัวใจผมเต้นแรงขึ้น ความอยากรู้ทำให้ผมจรดปลายเท้าเดินเข้าใกล้ตัวบ้านอย่างระมัดระวัง สายตาที่เริ่มคุ้นกับความมืดทำให้พอเห็นทางได้บ้าง ผมจึงพยายามเดินอย่างเงียบกริบไปจนถึงผนังด้านหนึ่งและมองหารอยแตกเพื่อมองเข้าไปด้านใน ตอนแรกผมหาไม่พบ แต่แสงที่ส่องลอดผ่านรอยต่อของไม้ซึ่งอยู่ด้านล่างของตัวบ้าน ทำให้ผมรีบก้มตัวลงไปมองและนั่งตกตะลึงเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน

    แสงหรุบหรู่ภายในห้องมาจากตะเกียงแอลกอฮอล์ที่วางไว้บนพื้น กลางห้องมีร่างของใครคนหนึ่งกำลังยืนก้มหน้าลงมองอะไรบางอย่างตรงปลายเท้า พอเลื่อนตามองตาม ผมต้องเย็นวาบไปทั้งตัว เพราะอะไรบางอย่างที่ว่านั่นเป็นร่างที่มองไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง หน้าท้องถูกเปิดออกจนมองเห็นอวัยวะภายใน ร่างกายไม่ว่าจะเป็นแขนหรือขาถูกชำแหละจนยับเยิน       

    ไม่สิ ต้องใช้คำว่า ถูกชำแหละอย่างสวยงามต่างหาก ผมคิดพลางกลืนน้ำลายลงคออย่างกระหายและนั่งมองการกระทำของอีกฝ่ายที่ลงมือเชือดร่างบนผ้าใบอย่างบรรจงจนเสร็จ ผมเห็นเขายืนมองผลงานของตัวเองด้วยความชื่นชมนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงเก็บอุปกรณ์ทุกชิ้นลงกระเป๋า จากนั้นก็ดึงผ้าใบห่อซากสยองชิ้นนั้นก่อนถีบมันลงไปในพื้นที่ถูกเจาะเป็นช่อง เลื่อนไม้กระดานมาปิด ขยับโต๊ะมาบังเอาไว้อีกชั้นก่อนดับตะเกียงเดินออกจากห้อง หายตัวไปกับความมืด

    กลิ่นแอลกอฮอล์หายไป แต่กลิ่นเลือดยังคงอ้อยอิ่งอยู่จางๆในอากาศ ผมไม่รู้ว่ามันมาจากไหนกันแน่ ร่างที่บัดนี้นอนสงบอยู่ใต้พื้นหรือบนมือของผม แต่ไม่ว่าจะมาจากที่ใด มันได้ปลุกความรู้สึกบางอย่างในตัวให้ตื่นขึ้น หัวใจของผมเต้นรัวอย่างแรงจนแทบหลุดออกมาจากอก ไม่ใช่เพราะความหวาดกลัว แต่เป็นความตื่นเต้น ผมทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นดินและเงยหน้าขึ้นมองยอดไม้ที่กำลังต้องสายลมไหวโอนเอนด้วยดวงตาเบิกกว้าง ความอิ่มเอิบวิ่งพล่านไปทั่วกาย ภาพของคมมีดที่กรีดลงไปบนผิวหนัง แยกมันออกจากกล้ามเนื้อวิ่งวนกลับไปกลับมาอยู่ในความทรงจำ มันทำให้ผมต้องแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างกระหาย ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมซังกะตายทำงานเพียงเพื่อให้ผ่านพ้นไปวันๆ ชีวิตก็ดำเนินไปอย่างจืดชืดไร้รสชาติ ผมเฝ้าถามตัวเองอยู่เสมอว่า แท้จริงแล้วต้องการอะไรกันแน่ เพิ่งได้รู้คำตอบเอาก็ตอนนี้เอง

    ผมยิ้มอย่างมีความสุขก่อนลุกขึ้นเดินไปริมน้ำเพื่อล้างมือ ชำระคราบเลือดบนเสื้อผ้าและร่างกาย เสร็จแล้วจึงเดินย้อนกลับไปทางเก่าโดยไม่หันกลับมามองบ้านหลังนั้นอีกเลย

    ผมขับรถออกจากที่นั่นด้วยความเร็วปานเหาะ ไม่ใช่เพราะกลัวโดนคนอื่นจับได้แต่มันเกิดจากความลิงโลดในหัวใจ กระทั่งถึงบ้านแล้วอารมณ์เช่นนั้นยังคงอยู่ ผมพยายามทำจิตใจให้สงบด้วยการอาบน้ำ ฟังเพลงพร้อมกับดื่มไวน์แดงที่เหลือจากตอนเย็น แต่ความอิ่มเอิบซาบซ่านก็ยังไม่เลือนหายไป สุดท้ายจึงตัดสินใจเปิดคอมพิวเตอร์เข้าไปยังเว็บไซด์โปรดซึ่งเป็นแหล่งรวมของผู้นิยมคดีฆาตกรรมทุกชนิดบนโลกแถมยังมีการเขียนนิยายประเภทเดียวกันนี้ให้อ่านอีกด้วย บางเรื่องก็สนุกสมจริง บางเรื่องเขียนได้ห่วยจนผมต้องปิดตั้งแต่สามบรรทัดแรก ตอนอ่านกระทู้อยู่นั้นจู่ๆผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า บางทีฆาตกรนั่นอาจเข้ามาพร่ำพรรณนาผลงานของเขาในเว็บไซด์แห่งนี้ แต่หลังจากไล่ดูทุกกระทู้ผมก็พบแต่เพียงแค่บทวิจารณ์กับการสนทนาทั่วไป น่าเสียดายที่ผลงานชิ้นเยี่ยมขนาดนั้นจะไม่มีวันออกมาสู่สายตาของผู้คน ผมจึงตัดสินใจบรรยายสิ่งที่เห็นโดยเขียนเป็นเรื่องสั้น และบอกว่าฆาตกรคนนั้นคือตัวของผมเอง

    พอโพสต์บทความดังกล่าวเรียบร้อยแล้วผมจึงเข้านอนได้อย่างมีความสุข เช้าวันรุ่งขึ้นผมลืมตาตื่นด้วยความรู้สึกสดชื่นกระฉับกระเฉงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นับเป็นครั้งแรกที่ผมสนุกกับหน้าที่การงาน ตกเย็นก็เดินทางกลับบ้านอย่างสบายอกสบายใจ  

    เพื่อฉลองกับการมีชีวิตใหม่ มื้อเย็นของผมจึงเป็นปลาดิบรสเลิศที่อุตส่าห์หอบหิ้วมาจากภัตตาคารญี่ปุ่น ตบท้ายด้วยไวน์ขาวรสละมุนพร้อมฟังเพลงของบีโธเฟนอย่างสุขใจ พักผ่อนอย่างเต็มอิ่มแล้วผมจึงเปิดคอมพิวเตอร์เข้าเว็บไซด์ฆาตกรรมเพื่อดูผลตอบรับเรื่องสั้นที่ลงไว้เมื่อคืน ส่วนใหญ่มักเข้ามาบอกว่าสนุก แต่โหดน้อยไปหน่อยหรือไม่ก็บอกว่า ดูไม่สมจริง ผมหัวเราะอย่างดูแคลนกับความคิดเห็นทั้งหมดก่อนเปิดข้อความลับ สิ่งที่ปรากฏทำให้ผมต้องนั่งตัวแข็ง 

    ถึงคุณ  M

    นิยายของคุณสนุกมาก น่าเสียดายเหลือเกินที่ศิลปะอันสวยงามชิ้นนั้น ไม่ใช่ผลงานของคุณ

    ด้วยความนับถือ

     P  

    มือผมสั่นด้วยความตระหนก ทำไมนาย P คนนี้ถึงส่งข้อความนี่มาให้ผม จะบอกว่าเป็นพวกสู่รู้ก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพื่อไขข้อสงสัยผมจึงส่งข้อความถามกลับไปว่าเขาเป็นใคร คิดยังไงถึงเดาว่านี่ไม่ใช่ผลงานของผม ส่งไปไม่ทันถึงนาทีก็มีข้อความกลับมา พออ่านผมถึงกับชาไปทั้งตัว

    ถึงคุณ M

    มันเป็นผลงานของผมเอง

    P

     

    */*/*/*/*/*/*

     

     

     

     

       

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×